วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

โรคช่องท้องอักเสบติดต่อของแมว (Feline Infectious Peritonitis: FIP)



web statistics








 



โรคช่องท้องอักเสบติดต่อ (Feline Infectious Peritonitis: FIP) 

โรคนี้นั้นแม้จะเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยมาก แต่ก็เป็นโรคที่มีอาการแสดงออกหลายแบบและมีความรุนแรง นอกจากนี้ยังเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยาก เรียกได้ว่าเป็นโรคปราบเซียนที่สัตวแพทย์หลายคนไม่อยากจะเจอเลยทีเดียว

โรคช่องท้องอักเสบติดต่อเกิดจากเชื้ออะไรและติดต่อมายังแมวได้อย่างไร

โรคช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว (ต่อไปนี้จะขอเรียกสั้นๆว่า โรค FIP) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อ Coronavirus เมื่อไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายน้องแมวโดยมากแล้ว จะไม่แสดงอาการป่วยให้เห็นแต่อย่างใด หรืออาจพบว่ามีอาการท้องเสียได้บ้าง แต่ในแมวบางตัว (ซึ่งเป็นส่วนน้อย คือ ราวๆ 5-10%) ไวรัสนี้จะพัฒนาตัวเองและทำให้แมวแสดงอาการของโรคช่องท้องอักเสบติดต่อตามมา

การติดต่อของเชื้อไวรัสนี้จะมาจากการปนเปื้อนสิ่งที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร ของแมว เช่น น้ำลาย อุจจาระ และอาจจะติดจากแม่แมวไปสู่ลูกแมวในช่วงที่มีการตั้งท้องก็ได้ ดังนั้นเราจึงมักจะพบการติดต่อของไวรัสนี้ในน้องแมวที่อาศัยอยู่รวมกันหลาย ตัว และใช้ชามอาหาร ชามน้ำ และกระบะทรายร่วมกันนั่นเอง









อาการที่อาจพบได้

ในช่วงแรกของการติดเชื้อ อาจจะไม่พบอาการผิดปกติชัดเจน หรือในบางรายอาจจะพบว่าน้องแมวมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ ตาอักเสบ มีความผิดปกติที่ระบบทางเดินหายใจส่วนต้น หรืออาจพบอาการท้องเสียได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจกินเวลาไม่กี่วัน จนถึงหลายอาทิตย์ได้ และต่อมาก็จะมีอาการที่แตกต่างกันไปในน้องแมวแต่ละตัว ขึ้นอยู่กับระดับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันของแมวตัวนั้นๆ โดยสามารถแบ่งกลุ่มอาการของโรคนี้แบบคร่าวๆได้ 2 แบบ คือ

1. Wet form หรือ Effusion form จะพบว่ามีการสะสมของน้ำในช่องท้อง (และอาจพบได้ในช่องอกด้วย) ทำให้พบว่าแมวท้องกางขึ้น หายใจลำบาก สังเกตง่ายๆจะมีอาการหายใจแรงเนื่องจากมีน้ำในช่องท้องไปดันกระบังลม หรือมีน้ำในช่องอก ทำให้น้องต้องใช้การหายใจทางปากแทน น้องแมวมักจะมีไข้ขึ้นๆลงๆ ซึม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เหงือกซีดหรือเหลือง

2. Dry form หรือ Non-effusion form ในกรณีที่เป็นแบบนี้ กระบวนการพัฒนาของโรคจะช้ากว่าแบบ wet form โดยจะไม่พบการสร้างน้ำเข้าสู่ช่องท้องหรือช่องอก แต่จะมีกระบวนการอักเสบและก่อเป็นก้อนอักเสบตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย (ไต ตับ ตับอ่อน ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ ปอด สมอง และตา) ทำให้มีความผิดปกติกับอวัยวะนั้นๆ เช่น ไต/ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ม้ามโต ท้องเสียเรื้อรัง ชัก อัมพาต ช่องหน้าตาอักเสบหรืออาจพบอาการตาบอดเฉียบพลันก็ได้ครับ
 
จะรู้ได้อย่างไรว่าน้องแมวเป็นโรค FIP

ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการตรวจวินิจฉัยใดๆที่สามารถฟันธงได้ว่าน้องแมวป่วย ด้วยโรค FIP โดยเฉพาะในกรณีที่มีอาการแบบ Dry form เพราะบางตัวอาจจะทราบว่าน้องแมวป่วยด้วยโรคนี้ก็เมื่อตอนที่ทำการชัยสูตรศพ น้องแมวที่เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นการจะพิจารณาว่าน้องแมวป่วยด้วยโรค FIP นั้น ก็จะใช้วิธีดูผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการร่วมกับการวิเคราะห์ประวัติและ อาการของน้องแมว โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการนั้นมีดังนี้

- การตรวจเลือดโดยตรวจดูปริมาณเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ค่าตับ ค่าไต และปริมาณโปรตีนในเลือด
- การตรวจด้วยชุดตรวจสำเร็จรูปเพื่อหาเชื้อ Feline coronavirus
- การตรวจหาเชื้อด้วยเทคนิคการเพิ่มสารพันธุกรรมของไวรัส (การทำPCR)
- การเอ็กซเรย์และการอัลตร้าซาวนด์ เพื่อดูว่ามีน้ำหรือก้อนผิดปกติในช่องท้อง/ช่องอกหรือไม่
- การตรวจชุดตรวจสำเร็จรูปเพื่อหาเชื้อไวรัส FIV/FeLV เนื่องจากในหลายๆกรณีอาจจะพบว่ามีการติดเชื้อไวรัส 2 ชนิดนี้ร่วมด้วย หรือในกรณีที่น้องแมวป่วยด้วยไวรัส FeLV ก็อาจพบว่าทำให้เกิดน้ำในช่องอกหรือช่องท้องได้เช่นกันครับ
- ในกรณีที่มีน้ำในช่องท้อง/ช่องอก ก็จะน้ำจากช่องท้องหรือช่องอกไปตรวจเพิ่มเติม
- ในกรณีที่ความผิดปกติที่ตาหรือมีอาการตาบอด อาจต้องทำการตรวจตาและจอตาเพิ่มเติม





การรักษาโรค FIP

ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่ได้ผลดีชัดเจน ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการและพยายามทำให้แมวมีสุขภาพที่แข็งแรงมากที่ สุดเท่าที่ทำได้ ดังนี้

- ถ้าเป็นในกรณีที่มีน้ำในช่องอกหรือช่องท้อง ก็มักจะมีการเจาะดูดน้ำเหล่านั้นออก การจะเจาะน้ำออกบ่อยมากน้อยแค่ไหนนั้น สัตวแพทย์จะดูจากอาการของน้องแมวและปริมาณน้ำที่คาดว่าจะมี
- ในกรณีที่มีการขาดน้ำ ก็ให้สารน้ำหรือน้ำเกลือแบบฉีดเข้าเส้นเลือดหรือเข้าทางใต้ผิวหนังแก่น้องแมว
- พยายามทำให้น้องแมวได้รับสารอาหารเพียงพอ ถ้าน้องแมวไม่มีการอาเจียน อาจพิจารณาป้อนอาหารเสริมให้แก่น้องแมว แต่ถ้ามีอาการอาเจียนหรือไม่สามารถป้อนอาหารได้มากพอ สัตวแพทย์อาจพิจารณาให้สารอาหารเสริมเข้าทางเส้นเลือด หรืออาจคาท่อสำหรับป้อนอาหารลงสู่กระเพาะอาหารโดยตรงครับ
- อาจมีการให้ยาในกลุ่มที่มีฤทธิ์ในการกดภูมิต่างๆ เช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อกดปฏิกิริยาการอักเสบที่ทำให้เกิดน้ำหรือก้อนอักเสบต่างๆ
- ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจเข้ามาแทรกซ้อน
- ให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆเสริม
- อาจมีการฉีดยาจำพวก Interferon ซึ่งเชื่อว่าสามารถต่อต้านเชื้อไวรัสและปรับสมดุลภูมิคุ้มกันได้


การป้องกันโรค FIP

ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรค FIP ซึ่งเป็นวัคซีนแบบหยอดจมูก วัคซีนนี้ให้ผลในการป้องกันโรคไม่ดีนัก คือราวๆ 70% และยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงบางประการได้ ดังนั้นถ้าเจ้าของท่านใดต้องการทำวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้ ให้ลองสอบถามกับสัตวแพทย์ที่ดูแลน้องแมวของเพื่อนสมาชิกกันก่อนนะครับ
การป้องกันโรค FIP นี้นั้น นอกจากการทำวัคซีนแล้ว ก็ คือการลดโอกาสการติดเชื้อและการปนเปื้อนของเชื้อในสิ่งแวดล้อม เช่น

- ในกรณีที่เลี้ยงแมวหลายตัว ควรจัดเตรียมกระบะทรายให้เพียงพอ
- หมั่นตักทำความสะอาดทรายแมวเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- อย่าเลี้ยงแมวหนาแน่นเกินไป เพราะอาจจะทำให้น้องแมวเครียดได้ง่าย
- ให้อาหารที่มีโภชนาการที่ดี เพื่อให้แมวมีสุขภาพที่แข็งแรง
- ถ้าในบ้านตรวจพบว่ามีน้องแมวที่เป็นโรคนี้หรือสงสัยว่าจะเป็น ควรแยกเลี้ยงต่างหากกับน้องแมวตัวอื่น ไม่ควรใช้กระบะทราย ชามอาหารและน้ำร่วมกับน้องแมวที่เป็นโรค FIP โดยเด็ดขาด
- เมื่อรับน้องมาจากที่อื่นเพิ่ม ควรแยกและดูอาการก่อนซัก 7 วัน จากนั้นรีบนำน้องไปฉีดวัคซีนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับน้อง และเป็นการเพิ่มความมั่นใจกับเราและความปลอดภัยกับน้องตัวอื่นๆด้วยครับ




Flag Counter


Flag Counter






โพสต์แลกเปลี่ยนความรู้กันได้ที่นี่เลยครับ โดยใช้ Facebook Username ของคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น